วันเสาร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

มาทำความรู้จักกับน้ำหอมกันเถอะ




ชื่อเรียกน้ำหอมแต่ละชนิด
โดยปกติแล้วน้ำหอมที่มีจำหน่ายตามท้องตลาด จะมีความเข้มข้นของส่วนผสมที่ไม่เท่ากันครับ ซึ่งน้ำหอมจะถูกแบ่งตามความเข้าข้นได้เป็น 4 ประเภท
ไม่ว่าจะเป็นร้านบอดี้ช็อป ร้านขายน้ำหอมแบรนด์เนมทั่วไป หรือแม้กระทั้งร้านน้ำหอมแบ่งขายตามตลาดนัด (น้ำหอมซีซี) ร้านค้าปลีกย่อยต่างๆ จะมีส่วนผสมไม่ต่างกัน คือจะมีเอทิล แอลกอฮอล์ (Ethyl Alcohol) (บางครั้งเรียกว่า เอทานอล (Ethanol)) ผสมอยู่ในน้ำหอมเป็นจำนวนมาก

น้ำหอมบางชนิด จะมีตัวหัวน้ำหอมผสมอยู่เพียง 4-10% เท่านั้น เองครับ แต่ส่วนที่เหลือ จะเป็นส่วนผสมของแอลกอฮอล์ หรือ น้ำกลั่นถึง 90% เลยทีเดียว

ซึ่งน้ำหอมบางชนิดจะมีความเข้มข้นต่ำ บางชนิดก็มีความเข้มข้นในปริมาณที่สูง ทั้งนี้ทางผู้ผลิตเอง ทำขึ้นเพื่อให้สามารถใช้ในโอกาสที่ต่างกันออกไป
โดยส่วนใหญ่แล้วในวงการน้ำหอม เราสามารถแบ่งประเภทน้ำหอมตามความเข้มข้น เป็น 4 ประเภทด้วยกันคือ
1. Perfume
2. EDP
3. EDT
4. EDC


รายละเอียดของน้ำหอมแต่ละชนิด
1. น้ำหอมชนิด Perfume
Perfume หรือที่รู้จักกันในนาม Perfume Extract จะเป็นชนิดน้ำหอมที่มีความเข้มข้นสูงสุด โดยจะมีความเข้มข้นของหัวน้ำหอมอยู่ประมาณ 20-40% ซึ่งจะให้กลิ่นน้ำหอม ที่หอมนุ่มนวลกว่าในบรรดาน้ำหอมทั้งหมด และก็มีราคาแพงที่สุดอีกด้วย ก็เนื่องจากความเข้มข้นของหัวน้ำหอมสูงนั่นเอง

2. น้ำหอมชนิด Eau de Parfum (EDP)
 จะมีความเข้มข้นรองมาจากตัว Perfume Extract ซึ่งจะมีหัวน้ำหอมผสมอยู่ประมาณ 8-16%
 EDP น่าจะเป็นน้ำหอมที่เราคุ้นเคยมากที่สุด และสามารถพบเห็นได้ง่ายตามร้านขายน้ำหอม ทั่วไป
 เมื่อใช้น้ำหอมชนิด EDP แล้วจะให้กลิ่นที่นุ่มนวลตามชนิดของน้ำหอม และกลิ่นหลัก (Top Notes) จะหายไปหลังจากฉีดน้ำหอมแล้ว ประมาณ 4 ชั่วโมง แต่กลิ่นรอง (Base Notes) จะอยู่ได้ต่ออีกประมาณ 24 ชั่วโมง
    
ดังนั้นน้ำหอมชนิดนี้จึงเป็นน้ำหอมที่เหมาะที่สุด หากคุณสาวๆ หรือหนุ่มๆ ท่านใด ต้องการให้มีกลิ่นติดตัวไปตลอดทั้งวัน

3. น้ำหอมชนิด Eau de Toilette (EDT) 
EDT เป็นน้ำหอมที่มีความเข้มข้นรองลงมาจากตัว EDP โดยจะมีสัดส่วนของหัวน้ำหอมอยู่ประมาณ 4-8% กลิ่นหลัก (Top Notes) ของน้ำหอม จะติดได้ทนประมาณ 2-3 ชั่วโมง และกลิ่นรอง (Base Notes) จะติดตัวผู้ใช้น้ำหอมต่อไปอีก 5-10 ชั่วโมง หลังฉีด เนื่องจากช่วงที่มีกลิ่นหอมติดตัวจะอยู่ได้ไม่นาน น้ำหอมชนิดนี้จึงเหมาะสำหรับใช้ในเวลากลางคืน หรือช่วงเวลาสั้นๆ ที่ไม่ต้องออกกลางแจ้ง หรือออกงานสังสรรค์ในตอนกลางคืน

 4. น้ำหอมชนิด Eau de Cologne (EDC)
 เป็นชนิดที่มีความเข้มข้นต่ำที่สุด น้ำหอม EDC มีหัวน้ำหอมผสมอยู่เพียง 2-4%
 น้ำหอมชนิดนี้จะค่อนข้างหายากตามท้องตลาด และกลิ่นของ EDC ก็ติดอยู่ได้ไม่นาน จึงไม่ค่อยเป็นที่นิยมใช้เท่าใดนัก

วันศุกร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

Le mont saint michel





Le mont saint michel is an island commune inNormandy, France. It is located about one kilometre (0.6 miles) off the country's northwestern coast, at the mouth of the Couesnon River near Avranches and is 100 hectares (247 acres) in size. As of 2009, the island has a population of 44.
The island has held strategic fortifications since ancient times and since the 8th century AD has been the seat of the monastery from which it draws its name. The structural composition of the town exemplifies the feudal society that constructed it: on top, God, the abbey and monastery; below, the great halls then stores and housing; and at the bottom, outside the walls, houses for fishermen and farmers.
The commune's position — on an island just 600 metres from land — made it accessible at low tide to the many pilgrims to its abbey, but defensible as an incoming tide stranded, drove off, or drowned would-be assailants. The Mont remained unconquered during the Hundred Years' War; a small garrison fended off a full attack by the English in 1433. The reverse benefits of its natural defence were not lost on Louis XI, who turned the Mont into a prison. Thereafter the abbey began to be used more regularly as a jail during the Ancien Régime.
One of France's most recognizable landmarks, visited by more than 3 million people each year, Mont Saint-Michel and its bay are on the UNESCO list of World Heritage Sites. Over 60 buildings within the commune are protected in France as monuments historiques.

มง-แซ็ง-มีแชล (ฝรั่งเศส: Le Mont-Saint-Michel) คือวิหารที่ตั้งอยู่บนเกาะโดดเดี่ยวกลางทะเลชายฝั่งตะวันตก บริเวณจังหวัดม็องช์ แคว้นบัส-นอร์ม็องดีของประเทศฝรั่งเศส ได้รับประกาศจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ. 2522 ภายใต้ชื่อ มง-แซ็ง-มีแชลและอ่าว
ในปีหนึ่งจะมีนักท่องเที่ยวไปเยี่ยมเยือนมง-แซ็ง-มีแชลกว่า 3 ล้าน 2 แสนคน ซึ่งทำให้ที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอันดับที่ 3 ของประเทศฝรั่งเศสรองลงมาจากหอไอเฟลและพระราชวังแวร์ซาย
ตัวเกาะอันเป็นที่ตั้งของวิหารนั้นเป็นหินแกรนิต โดยมีเส้นรอบวงเกาะประมาณ 960 เมตร และสูง 92 เมตร แล้วถ้าบวกกับความสูงของตัววิหารนั้นแล้วก็จะมีความสูงถึง 155 แมตร ถือเป็นปราการธรรมชาติตั้งแต่สมัยยุคกลาง โดยตั้งชื่อตามวิหารที่ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขานั่นเอง บนยอดวิหารเป็นรูปปั้นทองของอัครทูตสวรรค์มีคาเอล (นักบุญมิคาเอล) สร้างโดยเอมานูแอล เฟรมีเย (Emmanuel Frémiet)
ในปัจจุบัน มีประชากรอยู่อาศัยบนเกาะ 44 คน จากสถิติ ณ ปีค.ศ.2009




วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

17 โลโก้สินค้าดัง ที่ซ่อนความหมายแฝงอย่างแยบยล



1. VAIO 
ยี่ห้อโน้ตบุ๊กที่โดดเด่นด้านดีไซน์จากโซนี่ เมื่อมองดูโลโก้ดูแวบแรกคุณก็จะอ่านคำว่า VAIO ได้ในทันที แต่ถ้าสังเกตดูดี ๆ ก็จะพบว่ามันเป็นโลโก้ที่ผสมผสานความเป็นอนาล็อกและดิจิตอลเข้าด้วยกัน เมื่อ VA แทนการส่งสัญญาณคลื่นแบบระบบอนาล็อก ส่วน IO นั้นก็แทนเลข 1 0 ซึ่งเป็นไบนารี่โค้ดที่ใช้กันในเทคโนโลยีดิจิตอลนั่นเอง

2. Baskin Robbins
โลโก้ของแบรนด์ไอศกรีมแสนอร่อย Baskin Robbins แอบเสนอจำนวนรสชาติที่มีออกวางขายด้วยการใช้สีชมพูที่บางส่วนของตัวอักษร B และ R มองดูแล้วก็เป็นตัวเลข 31 เท่ากับว่าไอศกรีมเจ้านี้มีรสชาติหลากหลายให้เลือกชิมถึง 31 รสชาติไงล่ะ 


3. Formula 1
ลองสังเกตดูดี ๆ กับสัญลักษณ์การแข่งขันรถซิ่ง ฟอร์มูล่า 1 ระหว่างตัว F และสัญลักษณ์แทนความเร็วสีแดง คุณจะมองเห็นเลข 1 อยู่ด้วย เพื่อแทนคำว่า F1 นั่นเอง

4. Northwest Airlines
โลโก้ของสายการบิน นอร์ธเวสต์ แอร์ไลน์ส ไม่เพียงแต่จะแฝง ตัว W และ N ไว้ด้วยกันเท่านั้น แต่รูปสามเหลี่ยมในวงกลม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของตัวอักษร W ที่ถูกแยกออกมา ยังทำหน้าที่เหมือนศรของเข็มทิศที่ชี้ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนืออีกด้วย 

5. Tostitos
 ขนมอบกรอบแผ่นตอร์ตีญ่ายี่ห้อ Tostitos แฝงสัญลักษณ์น่ารัก ๆ ไว้ที่ตัว T ตรงกลางคำ มองแล้วเหมือนเพื่อนสองคนกำลังแบ่งแผ่นแป้งตอร์ตีญ่าจิ้มซัลซ่ากินกันอยู่เลย

6. Elefont
ชุดตัวอักษร Elefont ออกแบบโลโก้มาเรียบแต่น่ารัก ลองมองดูตัวสัญลักษณ์ที่ออกแบบให้ดูคล้ายตัวอักษร e ดูสิ ข้างในนั้นมีงวงช้างซึ่งเป็นจุดเด่นของฟอนต์ชุดนี้ด้วยนะ 

7. Hope for African Children Initiative
โลโก้ของหน่วยงานเพื่อเด็ก ๆ ในแอฟริกา Hope for African Children Initiative เมื่อมองแวบแรกคุณจะเป็นแผนที่ทวีปแอฟริกาสีขาวอยู่ตรงกลาง และเมื่อมองอีกครั้งคุณก็จะเห็นว่าพื้นที่สีส้มข้าง ๆ เป็นรูปเด็กและผู้ใหญ่ยืนหันหน้าเข้าหากัน บ่งบอกถึงจุดประสงค์ในการทำงานของหน่วยงานนี้นั่นเอง 



8. Toblerone 
 ขนมช็อกโกแลตผสมนูกัตน้ำผึ้งยอดฮิตอย่าง Toblerone ก็แอบบอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาของแบรนด์ไว้ในโลโก้ของตัวเอง ด้วยรูปหมีเป็นเงาสีขาวอยู่กลางภูเขารูปสามเหลี่ยม เพราะ Toblerone มีต้นกำเนิดมาจากเมืองเบิร์น ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่ซึ่งมีหมีเป็นสัญลักษณ์ของเมืองนั่นเอง 

9. Hartford Whalers
โลโก้ของทีมนักกีฬาฮอคกี้ Hartford Whalers จากรัฐคอนเนคติกัต สหรัฐฯ ออกแบบมาเปรี้ยงเดียวสื่อความหมายครบ ทั้งส่วนส่วนสีน้ำเงินแทนหางปลาวาฬ ส่วนสีขาวแทนตัวอักษร H และส่วนสีเขียวแทนตัวอักษร W 

10. Goodwill  
Goodwill Industries International Inc. เป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรเพื่อช่วยฝึกทักษะในการทำงานให้แก่ผู้พิการ โลโก้ของ Goodwill ที่ใช้อักษร g ตัวพิมพ์เล็ก ไม่เพียงเป็นสัญลักษณ์แทนตัวอักษรแรกชื่อองค์กรแล้ว ยังสามารถมองเป็นใบหน้าครึ่งซีกของคนที่กำลังยิ้มอยู่ได้ด้วย ยิ้มสวยแบบนี้สมกับที่มี goodwill (ความมีมิตรไมตรี) จริง ๆ เลย

11. Spartan Golf Club
สโมสรนักกอล์ฟ Spartan Golf Club ออกแบบโลโก้ได้อย่างชาญฉลาด สื่อความสองอย่างครบถ้วนในรูปเดียว เมื่อมองจากมุมหนึ่งเห็นเป็นรูปนักกอล์ฟกำลังวาดวงสวิง ส่วนจากอีกมุมก็เป็นรูปหมวกนักรบของชาวสปาตันนั่นไง

12. Unilever 
เป็นที่ทราบกันดีว่า ยูนิลีเวอร์เป็นผู้ผลิตสินค้าทั้งอุปโภคและบริโภคนานาชนิดจนแทบจะเอ่ยชื่อไม่หมด ฉะนั้น Unilever เลยจาระไนสินค้าของตัวเองด้วยสัญลักษณ์แทนสินค้าต่าง ๆ ประกอบเข้าเป็นตัว U ของโลโก้แบรนด์แทน

13. Amazon
 เว็บซื้อขายสินค้าออนไลน์ยอดฮิตอย่างอะเมซอน ต้องการสื่อว่าตนมีสินค้าให้เลือกสรรทุกสิ่ง ชนิดที่ภาษาบ้านเราคงต้องใช้คำว่า สากเบือยันเรือรบ ก็เลยลากลูกศรสีส้ม จากตัว a ไปตัว z เพื่อบอกว่ามีทุกสิ่งให้เลือกสรรจริง ๆ นะ

14. Sun Microsystems
 บริษัทเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์รายอื่น ๆ อาจมีโลโก้ที่เรียบง่ายและดูน่าเบื่อ แต่สิ่งนี้ไม่เกิดขึ้นกับโลโก้ของ Sun Microsystems ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ สารกึ่งตัวนำ และซอฟต์แวร์รายใหญ่ของโลก เพราะสัญลักษณ์รูปเพชรนี้ สามารถอ่านได้ว่า SUN เสมอ ไม่ว่าจะมองมุมหรือทิศทางใด ๆ ก็ตาม 

15. Wendy’s
ร้านฟาสต์ฟู้ด Wendy’s มีโลโก้แสนน่ารักเป็นเด็กผู้หญิงผมแดงยิ้มหวาน และถ้าคุณมองที่คอเสื้อของหนูเวนดี้ดี ๆ ล่ะก็ จะเห็นคำว่า MOM ด้วยนะ เผื่อว่าครั้งหน้าที่คุณคิดถึงอาหารที่แม่ทำ จะได้คิดถึง Wendy’s ยังไงล่ะ 

16. The Bronx Zoo
โลโก้ของสวนสัตว์ The Bronx ซึ่งตั้งอยู่ในย่านบรองซ์ของมหานครนิวยอร์กที่แสนวุ่นวาย เป็นรูปยีราฟขายาว เมื่อมองดูที่ขาของเจ้ายีราฟคุณก็จะได้เป็นว่ามีตึกรามสูงเสียดฟ้าตั้งตระหง่านอยู่ สื่อได้ชัดเจนตรงตัวว่ามีสวนสัตว์อยู่ในเมืองใหญ่แห่งนี้ด้วยนะ 

17. Coca Cola
โลโก้ของผู้ผลิตน้ำดำเจ้ายักษ์อย่างโคคา-โคลา ดูแล้วไม่น่าซ่อนความหมายแฝงพิเศษอะไรเอาไว้ แต่ลองจ้องที่ o ในคำว่า Cola ดูดี ๆ สิ คุณจะเห็นว่าเส้นสายลายของมันไปละม้ายคล้ายคลึงกับ ธงชาติของเดนมาร์ก ประเทศซึ่งได้ชื่อว่าผู้คนมีความสุขที่สุดในโลกจริง ๆ ต้องบอกไว้ก่อนว่าแรกเริ่มเดิมทีโคคา-โคลา ก็ไม่ได้ตั้งใจออกแบบให้มันเหมือนลายธงชาติแต่อย่างใด แต่เมื่อไหน ๆ หลายคนก็บอกว่าคล้าย โคค-โคลา เลยหยิบเอาความเหมือนนี้มาทำมาร์เก็ตติ้งสตัทน์ โปรโมทเครื่องดื่มของตัวเองที่สนามบินในเดนมาร์กซะเลย เปลี่ยนความบังเอิญเป็นโอกาสทองจริง ๆ 

โลโก้สายการบินต่างๆ


ภาษาเยอรมันเบื้องต้น




สวัสดีตอนเช้า : Guten morgen กูทเท่น มอ เกน
สวัสดี (ใช้ตอนกลางวัน) : Guten tag : กูทเท่น ท๊าค
สวัสดี (ใช้ตอนเย็นและค่ำ) : Guten abend : กูทเท่น อาเบ่น
ราตรีสวัสดิ์ : Gute nacht : กูทเท่อะ น๊าค
แล้วค่อยพบกัน : Auf wiedersehen : เอ๊า วีเดอะ เซน
ขอบคุณ : Danke : ดังเค่อะ
ขอบคุณมาก : Vielen dank : วีเลน ดัง
ตกลง : Alles klar : อัลเลส คลา
ไม่เป็นไร : Schon gut : เชิน กุ๊ท
ใช่/ได้ : ja (หยา)
ไม่ใช่/ไม่ได้/เปล่า : nein : นาย์
โปรด/กรุณา : Bitte : บิทเถ่อะ
เท่าไร : wie viele? : วีฟีล?
นานเท่าไร : wie lange? : วีลั๊ง
ขอโทษ : entschuldigung : เอน ชู๊ล ดิ กุง
ขอตัวสักประเดี๋ยว : entschuldigen sie mich bitte einen moment
ไม่เป็นไร/ด้วยความยินดี : bitte schoen : บิทเถอะ เชิน
ขอโทษฉันฟังไม่ทัน : es tut mir leid, dass ich sie nicht erreichen konnte : เอส ทุ๊ส เมีย ไลด์, ดาส อิค ซี นิค
คุณพูดภาษาอังกฤษได้ไหม : sprechen sie Englisch? : สะเปรเซ่น ซี อิงลิช?
สบายดีหรือ : wie geht es ihnen? : วี เกท เอส อีเน้น?
ฉันแต่งงานแล้ว : ich bin verheiratet. : อิค บิน แฟ ไฮ รา เถ่ท
ฉันโสด : ich bin nicht verheiratet. : อิค บิน นิค แฟ ไฮ รา เถ่ท
ขอทราบชื่อคุณได้ไหม : wie heissen sie? : วี ไฮ เซ่น ซี?

วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2559

Kungs vs Cookin’ on 3 Burners - This Girl



Valentin Brunel, better known by his stage name KUNGS, is a France DJ

วิธีขึ้นเครื่องบินครั้งแรก

ขึ้นเครื่องบินครั้งแรก

เดียวนี้การขึ้นเครื่องบินไม่ใช่สิ่งที่ไกลตัวกันอีกต่อไปแล้ว ด้วยราคาตั๋วที่ถูกลงอย่างมาก ยิ่งตอนมีโปรโมชั่นนั้นถูกยิ่งกว่าค่าแทกซี่เสียอีก และสายการบินก็จะจัดโปรโมชั่นกันออกมาเรื่อยๆ ทำให้เรามีโอกาศขึ้นเครื่องบินครั้งแรกกันได้ง่ายขึ้น มาเข้าเรื่องกันดีกว่าครับ สำหรับใครที่ขึ้นเครื่องบินบ่อยๆก็คงจะชินแล้วไม่กังวลหรือตื่นเต้นอะไรมาก แต่ทุกคนก็จะต้องมีครั้งแรกด้วยกันทั้งนั้น ยกตัวอย่างที่ผมเลย ขึ้นเครื่องครั้งแรกนั้นตื่นเต้นมากๆ กังวลไปหมดว่าจะต้องทำยังไง ไปถึงสนามบินกี่โมง ไปถึงสนามบินแล้วต้องทำอย่างไรต่อ ขั้นตอนมีอย่างไรบ้าง เดียวเรามาดูกันเลยครับ 

- จองตั๋วเครื่องบิน

ก่อนจะไปขึ้นเครื่องบินเราก็ต้องทำการจองตั๋วกันก่อนครับ มีให้เลือกมากมายหลายสายการบิน ไม่ว่าจะเป็น การบินไทย ,บางกอกแอร์เวย์ ,ไทยแอร์เอเชีย, นกแอร์ ,ไลออนแอร์ ฯลฯ ส่วนวิธีการจองนั้นก็ทำได้ทั้งการจองผ่านหน้าเว็บของสายการบิน การจองผ่านตัวแทนจำหน่าย หรือไปซื้อที่สนามบินวันเดินทางเลยก็ย่อมได้ (แต่ไปซื้อที่สนามบินตั๋วจะมีราคาที่ค่อนข้างแพงถึงแพงมาก) สิ่งที่สำคัญในขั้นตอนการจองตั๋วก็คือ ชื่อ-นามสกุล ต้องเป็นภาษาอังกฤษ และห้ามพิมพ์ผิดนะครับ ชื่อต้องตรงกับบัตรประชาชนหรือพาสปอตร์ เมื่อเราได้ตั๋วเครื่องบินมาครอบครองแล้วก็เป็นอันจบขึ้นตอนแรก 

- การเช็คอิน

การเช็คอิน ควรจะมาถึงสนามบินประมาณ 2-3 ชั่วโมง กรณีมีประเป๋าต้องโหลด วิธีการก็คือเดินไปที่เคาน์เตอร์ของสายการบินที่เราจองมา เช่นจอวตั๋วของแอร์เอเชีย ก็เดินไปที่เคาน์เตอร์ของแอร์เอเชีย หลักฐานที่ต้องใช้ก็แค่ยื่นบัตรประชาชน หรือพาสปอตร์ เท่านั้นเอง ถ้ามีโหลดกระเป๋าก็ส่งให้พนักงานได้เลยที่จุดนี้ หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็จะให้ Boarding Pass = บัตรโดยสาร เรามา เจ้าตัว Boarding Pass นี่สำคัญเลยครับ จะบอกรายละเอียดเราทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นชื่อ-นามสกุล, หมายเลขที่นั่ง, ประตู(เกต)ขึ้นเครื่อง ,เวลาขึ้นเครื่อง ,เวลาเครื่องออก 
คำศัพท์ควรรู้ในการขึ้นเครื่องบิน

Boarding Pass = บัตรโดยสาร / ใบผ่านขึ้นเครื่อง
Departure Time = เวลาเครื่องออก
Boarding Time = เวลาขึ้นเครื่อง
Departing = เครื่องออกจาก (สนามบิน) / เวลาออก
Arriving = เครื่องถึงที่หมาย (สนามบิน) / เวลาถึง
Gate = ประตูขึ้นเครื่อง

- ขั้นตอนการขึ้นเครื่อง

สำหรับคนที่ขึ้นเครื่องบินครั้งแรก ขั้นตอนนี้อาจจะดูน่ากังวลที่สุด แต่เดียวจะอธิบายว่ามันไม่ได้น่ากังวลอย่างที่คิดเลยครับ


 เมื่อเราได้ Boarding Pass = บัตรโดยสาร มาแล้วบนนั้นจะมีสิ่งที่ต้องดูก็คือ ชื่อ-นามสกุล ต้องตรงกับบัตรประชาชนหรือพาสปอตร์  SEAT ก็คือตำแหน่งที่นั่งของเราตัวอย่างในรูปก็คือ SEAT  20F ที่นั่งของเราก็คือ แถวที่ 20 ตำแหน่ง F

Flight no. ก็คือหมายเลขไฟลท์ที่เราจะบิน ในตัวอย่างก็คือ ไฟลท์ SL 5800 และปลายที่จะบินคือ เชียงใหม่

GATE ก็คือ ประตูขึ้นเครื่องบินที่เราจะต้องเดินไปรอ ตัวอย่างในรูปคือ  GATE 36 ก็ต้องไปรอที่ประตูขึ้นเครื่องหมานเลข 36 (ส่วนนี้สำคัญนะครับต้องไปให้ถูกที่)

Boarding Time ก็คือเวลาที่เรียกขึ้นเครื่องนั้นเอง ในตัวอย่างคือเวลา 10.50น.

ส่วนสำคัญก็มีประมาณนี้หละครับในการขึ้นเครื่องบิน


ระหว่างทางในสนามบินจะมีหน้าจอแบบนี้ให้เราเช็คตลอดว่าไฟลท์ที่เราจะบินนั้น ต้องไปที่ Gate ไหน
ยกตัวอย่างในภาพเช่น นกแอร์ไฟลท์ที่จะบินไป หาดใหญ่ DD 7120 ต้องไปรอขึ้นเครื่องที่ Gate 36


 หลังจากรู้แล้วว่าจะต้องไปขึ้นเครื่องบินที่ Gate  ไหน เราก็เดินตามป้ายไปเลยครับ จะมีบอกตลอดทาง


 มาถึงที่หน้า Gate ก็จะมีที่นั่งให้รอขึ้นเครื่อง แล้วก็ให้ตรวจเช็คอีกทีว่า เรามาถูก Gate หรือมั้ย เพื่อความชัวร์



หลังจากนั้นพนักงานก็จะเรียกขึ้นเครื่อง ให้เราโชว์บัตรโดยสาร คู่กับบัตรประชาชน หรือ พาสปอตร์ บางสนามบินจะมีงวงให้เราเดินไปขึ้นเครื่อง แต่ในบางสนามบินก็ต้องเดินไปขึ้นเครื่องเองเหมือนรูปดานบน


ขึ้นมาบนเครื่องแล้ว เราก็ต้องไปนั่งตามเลขที่นั่งที่กำหนดไว้บนตั๋วโดยสารครับ ส่วนสัมภาระก็เก็บไว้ด้านบน แล้วก็รัดเข็มขัดนิรภัยไว้ตลอดเวลาเพื่อความปลอยภัย

เป็นยังไงบ้างครับสำหรับขึ้นตอนการขึ้นเครื่อง ของคนที่ขึ้นเครื่องบินครั้งแรก ไม่ยากเลยใช่มั้ยครับ สุดท้ายนี้ ลากันไปด้วยภาพจากบนเครื่องบินสวยๆ และก็ขอให้สนุดกับการเดินทางกันนะครับสวัสดีครับ


ที่มา : http://www.mu-ku-ra.com/2014/08/blog-post.html

วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

Tour de France


           
Tour de France  หรือบางครั้งเรียกว่า La Grande Boucle และ Le Tour เป็นการแข่งขันจักรยานทางไกลรอบประเทศฝรั่งเศส ซึ่งจัดขึ้นเป็นเวลา 3 สัปดาห์ในช่วงเดือนกรกฎาคมของทุกปี เริ่มจัดขึ้นตั้งแต่ ค.ศ. 1903 จนถึงปัจจุบัน (เว้นการจัดแข่งขันในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและสอง)


           Tour de France เป็นการแข่งขันจักรยานที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก เป็นการแข่งขันจักรยานทางไกลหนึ่งในสามรายการใหญ่ ที่จัดการแข่งขันในยุโรป รวมเรียกว่า แกรนด์ทัวร์ โดยอีกสองรายการคือ
 Giro d'Italia จัดในอิตาลี ช่วงเดือนพฤษภาคม-ต้นมิถุนายน
 Vuelta a España จัดในสเปน ช่วงเดือนกันยายน
การแข่งขันครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1903 เกิดขึ้นเนื่องจากการท้าทายกันทางหน้าหนังสือพิมพ์ฝรั่งเศสชื่อ  L'Auto มีนักแข่งเข้าร่วมจำนวนถึง 60 คน แต่สามารถเข้าเส้นชัยได้เพียง 21 คน ซึ่งกิตติศัพท์ของความยากลำบากในการแข่งขัน ทำให้การแข่งขันนี้เป็นที่สนใจ และมีผู้ชมการแข่งขันช่วงสุดท้ายในกรุงปารีส ตามสองฟากถนนระหว่างทางราว 100,000 คน และกลายเป็นประเพณี ที่การแข่งขันทุกครั้งจะไปสิ้นสุดที่ประตูชัย จตุรัสเดอเลตวล ปารีส
ในปี ค.ศ. 1910 เริ่มมีการจัดเส้นทางแข่งขันเข้าไปในเขตเทือกเขาแอลป์ ปัจจุบันเส้นทางการแข่งขันจะผ่านทั้งเทือกเขาแอลป์ ทางตะวันออก และเทือกเขาพีเรนีสทางใต้ของฝรั่งเศส
การแข่งขันตูร์เดอฟรองซ์จะแบ่งเป็นช่วง (stage) เพื่อเก็บคะแนนสะสม ผู้ชนะในแต่ละช่วงจะได้รับเสื้อ (jersey) เพื่อสวมใส่ในวันต่อไป โดยมีสีเฉพาะสำหรับผู้ชนะในแต่ละประเภท คือ
สีเหลือง (maillot jaune - yellow jersey) สำหรับผู้ที่ทำเวลารวมได้น้อยที่สุด
สีเขียว (maillot vert - green jersey) สำหรับผู้ที่มีคะแนนรวมสูงที่สุด (the leader of the points classification)
สีขาวลายจุดสีแดง (maillot à pois rouges - polka dot jersey) สำหรับผู้ชนะในเขตภูเขา ซึ่งมีชื่อเรียกเฉพาะว่า จ้าวภูเขา King of the Mountains
สีขาว (maillot blanc - white jersey) สำหรับผู้ที่ทำเวลารวมได้น้อยที่สุดสำหรับผู้ที่อายุต่ำกว่า 26 ปี
สีรุ้ง (maillot arc-en-ciel - rainbow jersey) สำหรับผู้ชนะการแข่งขันจักรยานชิงแชมป์โลก (World Cycling Championship) ซึ่งมีกฏว่าจะต้องใส่เสื้อนี้เมื่อแข่งขันในประเภทเดียวกับที่ผู้แข่งนั้นเป็นแชมป์โลกอยู่
เสื้อแบบพิเศษ สำหรับผู้มีคะแนนรวมสูงสุด และชนะการแข่งขันช่วงย่อย และจ้าวภูเขา


            Tour de France เป็นกีฬาที่จัดขึ้นประจำปีในเดือนกรกฎาคม อากาศกำลังสบาย เหมาะกับการขี่จักรยาน หากในบางปี อากาศร้อนจัด ผู้แข่งขันซึ่งเรียกในภาษาฝรั่งเศสว่า le coureur จะเหงื่อไหลไคลย้อย มากขึ้นไปอีก น่าจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพด้วยความร้อนและความเหนื่อย

เมื่อถึงฤดูร้อน ชาวฝรั่งเศสเตรียมไปพักร้อนกันถ้วนหน้า เริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายน-สิงหาคม ครอบครัวใดมีลูกต้องรอ ให้ปิดเทอมเสียก่อนตอนต้นเดือนกรกฎาคม กรุงปารีสจึงร้างผู้คนในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม เพราะต้องผลัดกันไป ผู้ที่ไม่ได้ไปไหนในเดือนกรกฎาคม จะเฝ้าหน้าโทรทัศน์ เพราะมีการถ่ายทอด Tour de France

อองรี เดส์กรองจ์ (Henri Desgrange) ก่อตั้งหนังสือพิมพ์กีฬาชื่อ L'Auto-Velo แล้วเป็นคดีความกับหนังสือพิมพ์กีฬา Le Velo ก่อตั้งในปี 1892 อองรี เดส์กรองจ์ แพ้ความ จึงต้องเปลี่ยนชื่อเป็น L'Auto ส่วน Le Velo นั้นเปลี่ยนชื่อเป็น Le Journal de l'Automobile ในปี 1904 และเลิกไปในที่สุด

อองรี เดส์กรองจ์ประสบปัญหาการเงินจากการเป็นความกับ Le Velo จึงคิดหา วิธีหาเงินเพิ่ม จึงจัดการแข่งจักรยานในปี 1903 โดยให้ชื่อว่า Tour de France เพื่อแข่งกับการแข่งจักรยานเส้นทางปารีส-เบรสต์ (Brest)-ปารีสของหนังสือพิมพ์ Le Petit Journal และบอร์โดซ์-ปารีสของ Le Velo

Tour de France ครั้งแรกมี 6 ระยะด้วยกันคือ ปารีส ลิอง (Lyon) มาร์แซย (Marseille) ตูลูซ (Toulouse) บอร์โดซ์ (Bordeaux) นองต์ (Nantes) และกลับมาที่ ปารีส มีผู้เข้าแข่งทั้งหมด 60 คน แต่เข้าเส้นชัยเพียง 20 คน ผู้ได้รับชัยชนะคือโมริซ กาแรง (Maurice Garin) ในปี 1904 มีปัญหากระทบกระทั่งกับชาวบ้านในเส้นทางผ่านของผู้เข้าแข่ง

กฎประการหนึ่งของ Tour de France คือ หากเกิดปัญหาเทคนิค นักกีฬา ต้องแก้ไขเองเพียงลำพัง ผู้อื่นไม่สามารถให้ ความช่วยเหลือได้ นั่นเป็นปัญหาที่เกิดกับเออแจน คริสตอฟ (Eugene Christophe) ที่ถูกรถชนล้ม ทำให้เขาช้ากว่าผู้อื่นถึง 4




Tour de France ต้องงดหลังจากปี 1914 เพราะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 และกลับมาแข่งใหม่ในปี 1919 ซึ่งกำหนดให้ผู้ได้ รับชัยชนะให้สวมเสื้อสีเหลืองที่เรียกว่า maillot jaune ผู้ได้รับคนแรกคือ เออแจน คริสตอฟนั่นเอง ต่อมาในปี 1953 กำหนดมอบ maillot vert เสื้อสีเขียวแก่ผู้ที่สปรินต์ ได้เร็วที่สุด ส่วน maillot a pois เสื้อสีขาวจุดแดง มีขึ้นในปี 1975 มอบแก่ผู้ที่ชนะช่วง ที่เป็นภูเขา ส่วนเสื้อสีขาว maillot blanc กำหนดในปี 1970 มอบแก่นักกีฬาอายุต่ำกว่า 25 ปีที่ได้รับชัยชนะ

นักกีฬาที่หมอบบนจักรยานเป็นเวลา หลายชั่วโมงต้องมีร่างกายแข็งแรงเป็นเลิศ ทางโค้ง ทางชันขึ้นเขาลงเขา ล้วนอันตราย และเป็นที่มาของโศกนาฏกรรมหลายครั้ง ด้วยว่ามีนักกีฬาที่เสียชีวิตระหว่างการแข่งขัน เช่น ล้มจนศีรษะกระแทกโขดหินจนเสียชีวิต หรือเหนื่อยจนขาดใจตายก็มี กีฬาย่อมนำมา ซึ่งการโด๊ปยา จนกลายเป็นเรื่องฉาว นักกีฬา บางคนถูกขับจากการแข่งขัน

การแข่ง Tour de France มีการรายงานสดทางโทรทัศน์ในทศวรรษ 1960 ปัจจุบันมีการถ่ายทอดสดทางวิทยุและโทรทัศน์ จึงตระหนักว่า Tour de France มิได้เป็นแต่การแข่งขันความเร็วเท่านั้น หากยังได้ชมทัศนียภาพอันสวยงามของเส้นทางแข่งขันด้วย คณะกรรมการผู้จัดเป็นผู้กำหนดเส้นทางซึ่งเปลี่ยนไปในแต่ละปี ผ่านเมืองใดสร้างความคึกคักให้เมืองนั้น

ช่วงกลางเดือนกรกฎาคม 2009 มีกำหนดไปเที่ยวเมืองกอลมาร์ (Colmar) บังเอิญเป็นช่วงที่นักกีฬา Tour de France จะมาถึงเมืองกอลมาร์และออกสตาร์ทในวัน รุ่งขึ้น เป็นเส้นทางการแข่งขันระหว่างเมือง Vittel-Colmar และ Colmar-Besan"on อันที่จริง Tour de France ไม่เคยอยู่ในความสนใจ เห็นแต่ถีบจักรยานไปเรื่อยๆ จะตื่นเต้นตอนเข้าเส้นชัยอย่างเดียว หาก Tour de France มานำเสนออยู่ตรงหน้า จำต้องไปดูให้เป็นที่ประจักษ์

กอลมาร์เคยอยู่ในเส้นทาง Tour de France มาแล้วหลายครั้งกล่าวคือในปี 1931 เส้นทาง Belfort-Colmar 209 กิโลเมตรและ Colmar-Metz 192 กิโลเมตร ในปี 1949 Lausanne-Colmar 283 กม. Colmar-Nancy 137 กม. ในปี 1955 Metz-Colmar 229 กม. Colmar-Zurich 195 กม. ปี 1957 Metz-Colmar 223 กม. Colmar-Besan"on 192 กม. ปี 1997 Fribourg en Brisgau-Colmar 218.5 กม. Colmar-Montbeliard 175.5 กม. และปี 2001 Strasbour-Colmar 162.5 กม. Colmar-Pontarlier 222.5 กม.

กอลมาร์เป็นเมืองที่สวยน่ารักมาก โดยเฉพาะส่วนที่เป็นเมืองเก่า-Vieille Ville บ้านแบบอัลซาส (Alsace) ติดๆ กันบนทาง เดินเล็กๆ ที่ไม่ให้รถวิ่ง จึงเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว อันเป็นที่มาของร้านอาหารที่มีให้เลือกมากมาย มื้อกลางวันราคาไม่แพงแถมอร่อยด้วย เมื่อใกล้วันที่ Tour de France จะมาถึง เทศบาลห้ามจอดรถในลานจอดรถ บางแห่งและถนนบางสาย สร้างความเดือดร้อนให้ชาวเมืองที่ต้องวนรถหาที่จอด ผู้ประกอบการค้าไม่สบอารมณ์นัก เพราะเกรงจะกระทบต่อกิจการ คงเป็นเช่นนั้นจริงๆ นักท่องเที่ยวบางตาในสองวันที่มี Tour de France

วันที่นักกีฬามาถึงนั้นฝนตกตลอดบ่ายและอากาศเย็นมาก จนนักกีฬาต้องสวม เสื้อกันฝนและกันหนาว มัวแต่ไปเที่ยวนอกเมืองจึงพลาดการชมนักกีฬาเข้าเส้นชัย ทว่า ในวันรุ่งขึ้นไปจับจองที่ตั้งแต่ 9.30 น. เพราะคิดว่าจะปล่อยตัวนักกีฬาตอน 10.45 น. ทว่าเป็นความเข้าในผิดทั้งเพเพราะจะปล่อยตัวนักกีฬาเวลา 12.30 น. ถึงกระนั้นไม่ย่นย่อ

เนื่องจากเป็นวันเสาร์ชาวเมืองกอล มาร์จึงมาชมเต็มสองข้างทาง ได้ที่มั่นห่างจากเส้นสตาร์ทเพียงสิบเมตรโดยประมาณ ขณะรอนั้น บริษัทต่างๆ มาแจกสินค้า เช่น หมวกแก็ปสีฟ้าของ Bbox ในเครือของ Bouygues หมวกสีขาวของ Skoda หมวกใส่ นอนจาก Etap Hotel กระบังกันแดดของ Antargaz เครื่องดื่ม Recore ที่มีพนักงานแบกถังมารินใส่ถ้วย น้ำแร่ Vittel เป็นต้น นอกจากนั้น รถของหนังสือพิมพ์ L'Equipe มาจอดขายสินค้า ซึ่งมีทั้งร่ม ทีเชิ้ต เสื้อนัก กีฬาจักรยานที่เรียกว่า maillot เสื้อกันฝน ฯลฯ ทั้งยังตั้งแผงลอยข้างทางด้วย

ยิ่งสาย ผู้คนยิ่งเบียดเสียดจึงเกิดการวิวาท สาวไทยเกาะแผงเหล็กกั้นไว้แน่น เมื่อ มีผู้พยายามเบียดจึงได้เวลาเบียดกลับ ในวันนั้นเฟรเดริก มิตแตรองด์ (Frederic Mitterrand) รัฐมนตรีวัฒนธรรมมาร่วมงาน ด้วย รวมทั้งนักกีฬา Tour de France ในอดีต เช่น เรย์มงด์ ปูลิดอร์ (Raymond Poulidor) แบร์นารด์ อิโนลต์ (Bernard Hinault) ปะรำพิธีมีนักข่าวกีฬาทีวีเป็นผู้ดำเนินรายการ เชิญนักร้องนักแสดงมาร่วมด้วย นิโกเลตตา (Nicoletta) นักร้องรุ่นคุณย่ามาร้องเพลง Mamy Blues อันเลื่องลือในทศวรรษ 1970 เมื่อถึงเวลา 10.45 น. ได้ เวลาเคลื่อน caravane publicitaire ขบวนรถโฆษณาสินค้ายี่ห้อต่างๆ ที่เป็นสปอนเซอร์ การแข่งขัน บ้างทำเป็นหุ่นนักกีฬา บ้างเป็น ตัวสัตว์ซึ่งเป็นโลโกของสินค้า พนักงานประจำรถจะโยนสินค้าให้ผู้คนสองข้างทาง ใครดีใครได้ เป็นส่วนของ Tour de France ที่ครึกครื้นมาก

ใกล้เวลาปล่อยตัวนักกีฬา รถทางการสีแดงซึ่งเป็นพาหนะของประธานกรรมการจัดการแข่งขันขยับมาจอดข้างหน้า ประธานยืนขึ้นเมื่อประทุนรถเปิด เป็นผู้ให้สัญญาณการปล่อยตัวนักกีฬาแถวหน้าสุดจะเป็นตัวเต็งที่ได้เสื้อสามารถสีต่างๆ ต้องใช้ความสามารถในการจับภาพ เพราะเพียงชั่ววินาที นักกีฬาหายหมดเป็นประสบการณ์ที่ไม่มีวันลืม หลังจากยืนรอเป็นเวลาเกือบ 4 ชั่วโมง คงเป็น Tour de France เดียวในชีวิต  




วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

do and don't in France culture

Sleep-office



     ชาวฝรั่งเศสมีวัฒนธรรมการนอนกลางวัน จึงส่งผลให้ประเทศอาณานิคมของฝรั่งเศสชอบนอนกลางวันตามไปด้วย อย่างไรก็ตามในส่วนลึกของวัฒนธรรม คล้ายคลึงกับของอังกฤษและอิตาลีอยู่แล้ว ไม่สามารถแบ่งได้ชัดเจนเด่นชัด เช่น การจับมือ ภาษา เป็นต้น


สิ่งที่ควรทำ – ไม่ควรทำ
1.คุณสามารถกล่าวทักทายว่าบงชู (Bonjour) ซึ่งหมายถึงสวัสดีตอนเช้า
หรือบงซัว (Bonsoir) ที่หมายถึงสวัสดีตอนเย็น
กล่าวลาเมื่อจะจากไปด้วยคำว่า โอ”เครอ”วัว (Au revoir)  ที่แปลว่า ลาก่อน
และกล่าวขอบคุณว่า แม็กซิ (Merci) ได้
2. วิธีทักทายสำหรับคนที่รู้จักกันนั้นคือการแลกจูบแก้มซึ่งกันและกัน ไม่ว่าคู่ทักทายของคุณจะเป็นหญิงหรือชาย ตามงานพิธีต่างๆ ชาวฝรั่งเศสใช้วิธีชนแก้มกันทั้งสองข้าง (la bise) ว่ากันว่าชาวปารีสนิยมแนบแก้มกันถึง 4 ครั้ง ถ้าเป็นเมืองนอกเขตปารีสทำเพียง 2 ครั้ง
3. เมื่อไปรับประทานอาหารตามภัตราคารอย่าตะโกนเรียกบริกรว่า”การ์ซ็อง (garçon)” ที่ตรงกันกับภาษาอังกฤษว่า boy ซึ่งในภาษาฝรั่งเศสถือว่าไม่ สุภาพ ควรเรียกว่าเมอซิเออร์ และกล่าวคำว่า ซิล วู เปล ซึ่งแปลว่ากรุณา เวลาสั่งอาหารหรือขออะไรเพิ่มเติมจึงถือว่าสุภาพและควรถอดหมวก เสื้อคลุม โอเวอร์โค๊ดหรือแจ้กเก็ต เพื่อแสดงความเคารพต่อสถานที่ก่อนทุกครั้ง
4. สนามหญ้าในฝรั่งเศสมีไว้ให้ดูและชื่นชมความเขียวชอุ่ม ห้ามแตะต้องเด็ดขาด ยกเว้นตามสนามหญ้าที่เปิดเป็นสาธารณะ หากคุณละเมิดกฏเข้าไปในสนามหญ้าซึ่งมีป้าย pelouse interdite แปลว่า สนามหญ้าห้ามเข้า กำกับอยู่ ถือว่าคุณทำผิดกฏหมาย
 5. เมื่อชาวฝรั่งเศสต้องการโบกมือลาเขาจะยกมือพร้อมกับขยับนิ้วขึ้นลง ๆ
6. รถแท็กซี่ในฝรั่งเศสนั่งได้ 3 คน เฉพาะที่ตรงด้านหลังคนขับเท่านั้นที่นั่งด้านขวามือข้างหน้าคู่กับคนขับ นั้น มักไว้ให้เป็นที่นั่งของสัตว์เลี้ยง

CLASSIC RATATOUILLE

Ratatouille (2).JPG






Classic ratatouille
Ingredients
About ½ cup olive oil
1 eggplant (1¼ pounds); ends cut off, washed and cut, with skin on, into 1-inch cubes (about 4 cups)
3 medium zucchini (about 1 ¼ pounds, washed, ends removed, cut in 1-inch cubes (about 3 cups)
12 ounces onions (2-3 depending on size), cut into 1-inch cubes
1 pound green bell peppers (2–3,) washed, seeded, and cut into 1-inch squares (about 3 cups)
4–5 well-ripened tomatoes; peeled, halved, seeded and coarsely cubed (about 4 cups)
5–6 cloves garlic; peeled, crushed, and very finely chopped (about 1 tablespoon)
½ cup water
2 teaspoons salt
½ teaspoon freshly ground black pepper

Directions
1. Heat ¼ cup of the oil in one or, better, two large skillets.
2. First sauté the eggplant cubes, about 8 minutes; remove with slotted spoon and transfer to a large, heavy flameproof casserole. (The eggplant will absorb more oil while cooking than the other vegetables.)
3. Then sauté the zucchini cubes until browned, about 8 minutes. Then transfer to the casserole.
4. Add about ¼ cup more oil to the pan and sauté the onions and peppers together for about 6 minutes. Add them to the casserole.
5. Add the tomatoes, garlic, water, salt, and pepper to the casserole and bring to a boil over medium heat. Reduce heat, cover, and cook over low heat for 1 hour.
6. Remove the cover, increase the heat to medium, and cook another 20 minutes, uncovered, to reduce some of the liquid; stir once in a while to prevent scorching.
7. Let the ratatouille rest for at least 30 minutes before serving.

Tips/Techniques
This recipe is from Jacques Pepin: Ratatouille is the epitome of Provençal vegetable stews. The vegetables are sautéed individually in oil before being stewed, so they keep their shape and texture. If you prefer, though, you can put all the cubed vegetables into a casserole and top with the seasonings and water. Ratatouille is excellent reheated, and superb cold as an hors d’oeuvre topped with small black olives and olive oil.