ชื่อเรียกน้ำหอมแต่ละชนิด
โดยปกติแล้วน้ำหอมที่มีจำหน่ายตามท้องตลาด จะมีความเข้มข้นของส่วนผสมที่ไม่เท่ากันครับ ซึ่งน้ำหอมจะถูกแบ่งตามความเข้าข้นได้เป็น 4 ประเภท
ไม่ว่าจะเป็นร้านบอดี้ช็อป ร้านขายน้ำหอมแบรนด์เนมทั่วไป หรือแม้กระทั้งร้านน้ำหอมแบ่งขายตามตลาดนัด (น้ำหอมซีซี) ร้านค้าปลีกย่อยต่างๆ จะมีส่วนผสมไม่ต่างกัน คือจะมีเอทิล แอลกอฮอล์ (Ethyl Alcohol) (บางครั้งเรียกว่า เอทานอล (Ethanol)) ผสมอยู่ในน้ำหอมเป็นจำนวนมาก
น้ำหอมบางชนิด จะมีตัวหัวน้ำหอมผสมอยู่เพียง 4-10% เท่านั้น เองครับ แต่ส่วนที่เหลือ จะเป็นส่วนผสมของแอลกอฮอล์ หรือ น้ำกลั่นถึง 90% เลยทีเดียว
ซึ่งน้ำหอมบางชนิดจะมีความเข้มข้นต่ำ บางชนิดก็มีความเข้มข้นในปริมาณที่สูง ทั้งนี้ทางผู้ผลิตเอง ทำขึ้นเพื่อให้สามารถใช้ในโอกาสที่ต่างกันออกไป
ไม่ว่าจะเป็นร้านบอดี้ช็อป ร้านขายน้ำหอมแบรนด์เนมทั่วไป หรือแม้กระทั้งร้านน้ำหอมแบ่งขายตามตลาดนัด (น้ำหอมซีซี) ร้านค้าปลีกย่อยต่างๆ จะมีส่วนผสมไม่ต่างกัน คือจะมีเอทิล แอลกอฮอล์ (Ethyl Alcohol) (บางครั้งเรียกว่า เอทานอล (Ethanol)) ผสมอยู่ในน้ำหอมเป็นจำนวนมาก
น้ำหอมบางชนิด จะมีตัวหัวน้ำหอมผสมอยู่เพียง 4-10% เท่านั้น เองครับ แต่ส่วนที่เหลือ จะเป็นส่วนผสมของแอลกอฮอล์ หรือ น้ำกลั่นถึง 90% เลยทีเดียว
ซึ่งน้ำหอมบางชนิดจะมีความเข้มข้นต่ำ บางชนิดก็มีความเข้มข้นในปริมาณที่สูง ทั้งนี้ทางผู้ผลิตเอง ทำขึ้นเพื่อให้สามารถใช้ในโอกาสที่ต่างกันออกไป
โดยส่วนใหญ่แล้วในวงการน้ำหอม เราสามารถแบ่งประเภทน้ำหอมตามความเข้มข้น เป็น 4 ประเภทด้วยกันคือ
1. Perfume
2. EDP
3. EDT
4. EDC
2. EDP
3. EDT
4. EDC
รายละเอียดของน้ำหอมแต่ละชนิด
1. น้ำหอมชนิด Perfume
Perfume หรือที่รู้จักกันในนาม Perfume Extract จะเป็นชนิดน้ำหอมที่มีความเข้มข้นสูงสุด โดยจะมีความเข้มข้นของหัวน้ำหอมอยู่ประมาณ 20-40% ซึ่งจะให้กลิ่นน้ำหอม ที่หอมนุ่มนวลกว่าในบรรดาน้ำหอมทั้งหมด และก็มีราคาแพงที่สุดอีกด้วย ก็เนื่องจากความเข้มข้นของหัวน้ำหอมสูงนั่นเอง
2. น้ำหอมชนิด Eau de Parfum (EDP)
จะมีความเข้มข้นรองมาจากตัว Perfume Extract ซึ่งจะมีหัวน้ำหอมผสมอยู่ประมาณ 8-16%
EDP น่าจะเป็นน้ำหอมที่เราคุ้นเคยมากที่สุด และสามารถพบเห็นได้ง่ายตามร้านขายน้ำหอม ทั่วไป
เมื่อใช้น้ำหอมชนิด EDP แล้วจะให้กลิ่นที่นุ่มนวลตามชนิดของน้ำหอม และกลิ่นหลัก (Top Notes) จะหายไปหลังจากฉีดน้ำหอมแล้ว ประมาณ 4 ชั่วโมง แต่กลิ่นรอง (Base Notes) จะอยู่ได้ต่ออีกประมาณ 24 ชั่วโมง
Perfume หรือที่รู้จักกันในนาม Perfume Extract จะเป็นชนิดน้ำหอมที่มีความเข้มข้นสูงสุด โดยจะมีความเข้มข้นของหัวน้ำหอมอยู่ประมาณ 20-40% ซึ่งจะให้กลิ่นน้ำหอม ที่หอมนุ่มนวลกว่าในบรรดาน้ำหอมทั้งหมด และก็มีราคาแพงที่สุดอีกด้วย ก็เนื่องจากความเข้มข้นของหัวน้ำหอมสูงนั่นเอง
2. น้ำหอมชนิด Eau de Parfum (EDP)
จะมีความเข้มข้นรองมาจากตัว Perfume Extract ซึ่งจะมีหัวน้ำหอมผสมอยู่ประมาณ 8-16%
EDP น่าจะเป็นน้ำหอมที่เราคุ้นเคยมากที่สุด และสามารถพบเห็นได้ง่ายตามร้านขายน้ำหอม ทั่วไป
เมื่อใช้น้ำหอมชนิด EDP แล้วจะให้กลิ่นที่นุ่มนวลตามชนิดของน้ำหอม และกลิ่นหลัก (Top Notes) จะหายไปหลังจากฉีดน้ำหอมแล้ว ประมาณ 4 ชั่วโมง แต่กลิ่นรอง (Base Notes) จะอยู่ได้ต่ออีกประมาณ 24 ชั่วโมง
ดังนั้นน้ำหอมชนิดนี้จึงเป็นน้ำหอมที่เหมาะที่สุด หากคุณสาวๆ หรือหนุ่มๆ ท่านใด ต้องการให้มีกลิ่นติดตัวไปตลอดทั้งวัน
3. น้ำหอมชนิด Eau de Toilette (EDT)
3. น้ำหอมชนิด Eau de Toilette (EDT)
EDT เป็นน้ำหอมที่มีความเข้มข้นรองลงมาจากตัว EDP โดยจะมีสัดส่วนของหัวน้ำหอมอยู่ประมาณ 4-8% กลิ่นหลัก (Top Notes) ของน้ำหอม จะติดได้ทนประมาณ 2-3 ชั่วโมง และกลิ่นรอง (Base Notes) จะติดตัวผู้ใช้น้ำหอมต่อไปอีก 5-10 ชั่วโมง หลังฉีด เนื่องจากช่วงที่มีกลิ่นหอมติดตัวจะอยู่ได้ไม่นาน น้ำหอมชนิดนี้จึงเหมาะสำหรับใช้ในเวลากลางคืน หรือช่วงเวลาสั้นๆ ที่ไม่ต้องออกกลางแจ้ง หรือออกงานสังสรรค์ในตอนกลางคืน
4. น้ำหอมชนิด Eau de Cologne (EDC)
เป็นชนิดที่มีความเข้มข้นต่ำที่สุด น้ำหอม EDC มีหัวน้ำหอมผสมอยู่เพียง 2-4%
น้ำหอมชนิดนี้จะค่อนข้างหายากตามท้องตลาด และกลิ่นของ EDC ก็ติดอยู่ได้ไม่นาน จึงไม่ค่อยเป็นที่นิยมใช้เท่าใดนัก
4. น้ำหอมชนิด Eau de Cologne (EDC)
เป็นชนิดที่มีความเข้มข้นต่ำที่สุด น้ำหอม EDC มีหัวน้ำหอมผสมอยู่เพียง 2-4%
น้ำหอมชนิดนี้จะค่อนข้างหายากตามท้องตลาด และกลิ่นของ EDC ก็ติดอยู่ได้ไม่นาน จึงไม่ค่อยเป็นที่นิยมใช้เท่าใดนัก